top of page
เลบานอน
อยู่ในพื้นที่ตะวันออกกลาง ใครที่ชอบเรื่องราวการข้ามพรมแดน อาณานิคมที่เปลี่ยนผ่านหลายเชื้อชาติ ต้องอยากทำความรู้จักที่นี่ เพราะมีทั้งเรื่องราวของอารยธรรมเฮเลนิสติก เปอร์เซีย โรมัน อาหรับ และออตโตมัน บนดินแดนที่ติดชายฝั่งเมดิเตอร์เรเนียน เป็นทั้งท่าเรือแห่งแรกของโลกและส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหม มีอะไรน่าทำความรู้จักเยอะเลย
Tyre (ไทร์) อยู่ทางตอนใต้ของเลบานอน เป็นเมืองท่าสำคัญของชาวฟินิเชียน เคยถูกกรีกบุกเข้ายึดครอง ก่อนที่ต่อมาจะได้รับเอกราชและกลายเป็นจังหวัดหนึ่งของโรมัน จัดเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ มีเสน่ห์ของเมืองโบราณ โดยเฉพาะสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ โรมันฮิปโปโดรม (Roman Hippodome) ที่ถูกยกย่องให้เป็นมรดกโลก!
ไซดอน (Sidon) เมืองท่าอีกแห่งที่สำคัญเป็นอันดับ 3 รองจากบิบลอสและไทร์ เป็นเมืองสุดท้ายบนเส้นทางสายไหมก่อนที่จะลงทะเลไปยังกรุงโรม ที่นี่เลยมีที่พักของกองคาราวานข่านเอลฟราน (Khan al-Franj) ที่จัดเป็นตัวอย่างที่ดีของที่พักกลางทะเลทราย ความยาวกว่า 5,000 ไมล์ ที่ปัจจุบันเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมไซดอน
ปราสาททะเล (Sidon Sea Castle) ให้ได้! ปราสาทตั้งบนเกาะเล็ก ๆ ริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เชื่อมกับแผ่นดินใหญ่ด้วยการทำสะพานหิน จุดประสงค์ป้อมปราการแห่งนี้ก็เพื่อป้องกันเมือง สวยงามเลอค่า
Beited-Dine (ไบเทดดีน) เป็นเมืองเล็ก ๆ ของเลบานอนห่างจากเมืองเบรุตไม่มาก สิ่งที่คนนิยมมาเมืองนี้เพราะต้องการชมตัวอย่างสถาปัตยกรรมที่ดีที่สุดในช่วงต้นศตวรรษที่ 19 ของเลบานอนนั่นคือ พระราชวังไบเทคดีน (Beited-Dine Palace) ซึ่งสร้างขึ้นโดยเจ้าชายอาหรับ เป็นที่ประทับของเจ้าชายอาหรับ ต่อมาถูกเปลี่ยนมือโดยชาวเติร์กใช้เป็นที่พักของรัฐบาล พอมาถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝรั่งเศสใช้ในการปกครองท้องถิ่น มีการบูรณะแล้วประกาศเป็นอนุสาวรีย์ทางประวัติศาสตร์ จนเมื่อได้รับอิสรภาพได้กลายเป็นพระราชวังฤดูร้อนของประธานาธิบดี เรื่องเล่ามากมายผ่านกาลเวลา
Deir El Qamar (เดอร์ เอล คามาร์) เป็นอดีตเมืองหลวงของเลบานอนในศตวรรษที่ 15 อยู่ใกล้กับเมืองไบเทคดีน แยกจากกันด้วยหุบเขาที่สูงชัน หมู่บ้านแห่งนี้เป็นศูนย์กลางประเพณีและวรรณกรรมแห่งเลบานอน ภายในประกอบด้วยมัสยิด พระราชวัง โบสถ์ที่เป็นศูนย์รวมการทำกิจกรรมในหมู่บ้าน ซึ่งเป็นบ้านเกิดของบุคคลมีชื่อเสียงทั้งนักเขียนและนักการเมืองมากมาย
เมือง Jeita (ไจต้า) นักท่องเที่ยวนิยมขึ้นกระเช้าไฟฟ้าชม ถ้ำไจต้า (Jeita Grotto) ที่สวยที่สุดในโลกอยู่ห่างจากเบรุตแค่ 18 กิโลเมตร ที่นี่มีความลึกลับมาก ค้นพบโดยมิชชันนารีชาวอเมริกัน ถ้ำบางส่วนเดินชมได้ บางส่วนเป็นเหวลึก แบ่งเป็นถ้ำด้านบนและด้านล่าง ต้องนั่งเรือเข้าไปชม ซึ่งข้างในมีน้ำสะอาดเป็นแหล่งน้ำดื่มของชาวเลบานอน
บิบลอส (Byblos) ได้ชื่อว่าเป็นเมืองเก่าแก่ที่สุดของโลก และยังเป็นท่าเรือแห่งแรกของโลกด้วย เมืองนี้อยู่ริมฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เชื่อว่ากำแพงเมืองสร้างในยุค Bronze Age โดยชาวฟินิเชียน และมีคนอาศัยที่นี่นานกว่า 7,000 ปี ทำให้ที่นี่ได้รับคัดเลือกให้เป็นมรดกโลกในปีค.ศ. 1984 มาที่นี่ก็จะได้ชมบรรยากาศเมืองโบราณอายุนับพันปีริมทะเล อย่างป้อมเก่าที่สร้างโดยนักรบชาวครูเสดใช้หินจากโบราณสถานของโรมันและอาหรับ
บาลเบ็ค (Baalbek) เป็นอีกเมืองมรดกโลก เพราะมีศาสนสถานของโรมันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศเลบานอน เป็นวิหารที่สร้างขึ้นเพื่อถวายเทพเจ้าจูปิเตอร์ บิดาแห่งเทพเจ้าทั้งปวง วิหารยาว 274 เมตร เสาสูง 22 เมตร นับว่าสูงที่สุดในโลก โดยมีเสาล้อมรอบทั้งหมด 54 ต้น ปัจจุบันเหลือเพียง 6 ต้นเพราะแผ่นดินไหว และนำไปใช้งานที่อื่น (โบสถ์เซนต์โซเฟีย อิสตันบูลมีเสาของที่นี่ 8 ต้น) อีกวิหารหนึ่งสวยงามไม่แพ้กันแต่ขนาดเล็กกว่า สร้างขึ้นถวายเทพเจ้าแบคคัสและวีนัส ได้รับการยกย่องว่างดงามที่สุดในแบบคอรินเธียน
แอนจาร์ (Anjar) เมืองเล็ก ๆ ที่รุ่งเรืองในยุคมุสลิม สามารถชมพระราชวังโบราณ โรงอาบน้ำ ร้านค้ากว่า 600 ร้าน ที่แสดงให้เห็นว่าเมืองนี้ตั้งอยู่บนเส้นทางการค้าในสมัยโบราณ
เชคก้า (Chekka) เมืองชายฝั่งที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเลบานอน ที่นี่สามารถชมภูเขาที่สวยที่สุดของเลบานอนได้ นั่นคือ หุบเขาคาติชา (Kadisha Valley) เรียกอีกอย่างว่าหุบเขาศักดิ์สิทธิ์วาดีคาติซา เพราะเป็นหนึ่งในชุมชนศาสนายุคคริสต์ศาสนาตอนต้นที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก อารามคริสต์ศาสนาหลายแห่งมีอายุเก่าแก่มากตั้งอยู่บนหุบเขาอย่างน่าทึ่ง
Bsharri (บชาร์ริ) มี ป่าต้นสนซีดาร์ (Cedars of God Forest) ที่บางต้นอายุมากกว่าพันปี! ได้รับการคุ้มครองเป็นมรดกโลกในปีค.ศ. 1998 ป่าแห่งนี้มีคุณค่ามากในยุคโบราณ เพราะได้ใช้ไม้เป็นวัสดุก่อสร้างศาสนาสถานที่ยิ่งใหญ่หลายแห่ง แล้วรู้หรือไม่ว่า ต้นสนถือเป็นต้นไม้ประจำชาติเลบานอน และยังอยู่ในสัญลักษณ์ตรงกลางธงชาติของเลบานอนด้วย
ตันนูริน (Tannourine) เมืองท่องเที่ยวทางตอนเหนือของเลบานอน มี น้ำตกบาตาร่า (Baatara Gorge Waterfall) อยู่ไกลจากเมืองหลวงเบรุตประมาณ 2 ชั่วโมง น้ำตกที่สวยที่สุดในโลก เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสุดอัศจรรย์ ธรรมชาติได้สร้างขึ้นตั้งแต่ยุคไดโนเสาร์ ผ่านเวลายาวนานจนกลายเป็นน้ำตกที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว จุดเด่นอยู่ที่น้ำตกไหลลงไปในรูสู่หลุมด้านล่าง สามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากด้านนอกเป็นช่องสามชั้น ซึ่งแต่ละชั้นเป็นเหมือนสะพานหินธรรมชาติอยู่ คนจึงเรียกน้ำตกแห่งนี้อีกชื่อว่า ถ้ำสะพานสามเหว (Cave of Three Bridges) ในฤดูหนาวน้ำตกกลายเป็นน้ำแข็ง และเมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึงน้ำแข็งละลาย น้ำจะมีปริมาณมากที่สุด
bottom of page